News Update

News Update

Zero Trust: "ไม่ไว้ใจใครเลย" หัวใจความปลอดภัยยุคใหม่ ที่เป็นมากกว่าแค่เทคโนโลยี

 

ในยุคที่การทำงานแบบรีโมทและระบบคลาวด์ได้ทลายกำแพงเครือข่ายแบบดั้งเดิม ภัยคุกคามไม่ได้จำกัดอยู่แค่ "ข้างนอก" อีกต่อไป ทำให้แนวคิดด้านความปลอดภัยที่เคยเชื่อถือผู้ใช้ภายในโดยอัตโนมัติใช้ไม่ได้ผล Zero Trust (ZT) จึงถือกำเนิดขึ้นบนหลักการง่ายๆ ที่ทรงพลังคือ "ไม่เชื่อใจใครเลย ตรวจสอบทุกสิ่ง" (Never Trust, Always Verify)

 

หลักการสำคัญ: องค์ประกอบของสถาปัตยกรรม Zero Trust

Zero Trust ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ แต่เป็น สถาปัตยกรรม (Architecture) ที่ขับเคลื่อนด้วยหลักการพื้นฐาน 3 ข้อที่กำหนดโดย NIST (National Institute of Standards and Technology) เพื่อให้มั่นใจว่าทุกการเข้าถึงเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด:

1.    การตรวจสอบอย่างชัดเจน (Verify Explicitly): ทุกคำขอเข้าถึงต้องได้รับการยืนยันตัวตน (Identity) สถานะอุปกรณ์ (Device Health) และบริบทอื่นๆ เช่น ตำแหน่งที่ตั้งและเวลา ก่อนได้รับอนุญาต การตรวจสอบนี้ทำซ้ำทุกครั้งที่ผู้ใช้พยายามเข้าถึงทรัพยากรใหม่

2.    ให้สิทธิ์การเข้าถึงเท่าที่จำเป็นที่สุด (Least Privilege Access): ผู้ใช้และอุปกรณ์ได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น และจะมีการจำกัดเวลาเข้าถึง (Just-in-Time - JIT) หรือจำกัดสิทธิ์ให้เพียงพอต่อความต้องการ (Just Enough Access - JEA) เพื่อลดความเสี่ยงหากบัญชีถูกขโมย

3.    สันนิษฐานว่ามีการรั่วไหล (Assume Breach): องค์กรต้องออกแบบระบบโดยถือว่าภัยคุกคามได้เข้ามาอยู่ในเครือข่ายแล้ว และใช้เทคนิค เช่น Micro-Segmentation (การแบ่งเครือข่ายเป็นส่วนย่อย) เพื่อจำกัดขอบเขตความเสียหาย (Blast Radius) ไม่ให้ภัยคุกคามแพร่กระจาย


จุดเด่น คำอธิบาย
ป้องกันภัยคุกคามภายใน (Insider Threats) Zero Trust หยุดยั้งผู้บุกรุกที่ขโมยข้อมูลรับรองของพนักงาน หรือภัยคุกคามที่เกิดจากความผิดพลาดของพนักงานเอง เพราะแม้จะเข้าสู่ระบบได้แล้ว ก็ยังถูกจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงอยู่ดี
จำกัดการเคลื่อนที่ด้านข้าง (Lateral Movement) ด้วยหลักการ Micro-Segmentation ผู้โจมตีจะไม่สามารถเคลื่อนที่จากอุปกรณ์ที่ถูกบุกรุกไปยังเซิร์ฟเวอร์สำคัญอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยมีเวลาตรวจจับและตอบสนอง
รองรับการทำงานแบบ Hybrid & Cloud Zero Trust ทำให้การเข้าถึงจากทุกที่ปลอดภัยเท่ากัน ไม่ว่าพนักงานจะทำงานจากออฟฟิศ ที่บ้าน หรือใช้ระบบคลาวด์ ขอบเขตความปลอดภัยจะติดตามไปที่ตัวผู้ใช้และอุปกรณ์เสมอ
เพิ่มประสิทธิภาพการ Detect & Response การตรวจสอบทุกกิจกรรมทำให้มีการรวบรวมข้อมูล Log และ Telemetry ที่ละเอียดมากพอให้ระบบ AI และเครื่องมืออื่นๆ ใช้ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว
 

จุดด้อยและความท้าทาย: สิ่งที่องค์กรต้องเตรียมรับมือ

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ Zero Trust ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจนำมาซึ่งความท้าทายในช่วงแรก:

1.    ค่าใช้จ่ายในการลงทุนเริ่มต้นสูง: การนำ Zero Trust มาใช้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีการลงทุนในโซลูชันใหม่ๆ เช่น ZTNA, PAM, และการอัปเกรดระบบ MFA/IAM ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

2.    ภาระงานของผู้ดูแลระบบ (Admin) ช่วงแรก: ต้องมีการทบทวนและกำหนด Policy ใหม่ทั้งหมด การทำ Micro-Segmentation ที่ซับซ้อน และการจัดการสิทธิ์แบบ Least Privilege อาจเป็นงานที่ใช้เวลาและแรงงานมาก

3.    ความซับซ้อนในการรวมระบบ (Integration): Zero Trust ต้องการให้เครื่องมือความปลอดภัยทั้งหมด (Identity, Endpoint, Network, Cloud) ต้องทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายหากองค์กรใช้ผลิตภัณฑ์จากหลายผู้จำหน่าย (Multi-Vendor)

 

Zero Trust ทำงานร่วมกับ XDR และ NDR อย่างไร: การผสานรวมที่สมบูรณ์แบบ

Zero Trust ไม่ใช่ทางเลือกแทนที่เครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ แต่มันคือ ตัวขับเคลื่อน (Enabler) ที่ทำให้เครื่องมือเหล่านั้นทำงานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับระบบตรวจจับและตอบสนอง (Detection and Response):


เทคโนโลยี บทบาทต่อ Zero Trust กลไกการทำงานร่วมกัน
Extended Detection and Response (XDR) แหล่งข้อมูลบริบทและภาพรวม XDR รวบรวมข้อมูลความเสี่ยงจาก Endpoint, Cloud, และ Email นำไปคำนวณเป็น Risk Score ซึ่งถูกป้อนกลับไปยัง Zero Trust Policy Engine เพื่อตัดสินใจว่าควรให้หรือยกเลิกสิทธิ์การเข้าถึงในวินาทีนั้นๆ
Network Detection and Response (NDR) กล้องวงจรปิดในเครือข่าย NDR วิเคราะห์ Traffic เครือข่ายเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่ EDR พลาด เช่น การโจมตี Machine-to-Machine หรือการเชื่อมต่อผิดปกติระหว่าง Micro-Segments ข้อมูลจาก NDR ถูกใช้เพื่อยืนยันว่าการเคลื่อนที่ภายในนั้นเป็นอันตรายหรือไม่
EPP/EDR การควบคุมอุปกรณ์ปลายทาง EDR รายงาน สถานะความสมบูรณ์ (Health) ของอุปกรณ์ (เช่น มีมัลแวร์หรือไม่) ให้ Zero Trust ทราบ หากอุปกรณ์ไม่ผ่านมาตรฐาน Zero Trust จะ ปฏิเสธการเชื่อมต่อ แม้แต่ก่อนที่ EDR จะเริ่มทำการตอบสนอง
 

สรุป:

การใช้แค่ EPP และ EDR เพียงอย่างเดียว อาจเพียงพอสำหรับควบคุมอุปกรณ์ปลายทาง แต่ Zero Trust จะช่วยให้คุณ ควบคุมการเข้าถึง ได้อย่างเข้มงวด ในขณะที่ XDR และ NDR จะช่วย ขยายขอบเขตการมองเห็น และทำให้กระบวนการ Detect and Respond ทั้งหมดทำงานแบบอัตโนมัติและชาญฉลาดมากขึ้น เพื่อให้ได้โซลูชันที่สมบูรณ์และลดความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง องค์กรจึงจำเป็นต้องผสานรวมเครื่องมือเหล่านี้ภายใต้กลยุทธ์ Zero Trust นั่นเอง

share :

This website Collects

To give you a better experience, by continuing to use our website, you are agreeing to the use of cookies and personal data as set out in our Privacy Policy | Terms and Conditions

Accept